บทความที่ผ่านมาแล้วในหลายๆบทความนั้นผู้เขียนได้กล่าวถึงธรณีพิบัติในรูปแบบของแผ่นดินไหว และผลที่เกิดตามมาในรูปแบบของคลื่นยักษ์สึนามิมาแล้วระยะหนึ่ง หากแต่ประเทศไทยนั้นภัยพิบัติที่เกี่ยวกับเรื่องของแผ่นดินยังเกิดขึ้นในรูปแบบอื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นในบทความฉบับนี้ผู้เขียนจะขอนำเสนอภัยพิบัติในรูปแบบของดินโคล่นถล่ม (Landslide)โคลนถล่ม เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาจากการเคลื่อนที่ของมวล เป็นกระบวนการการเคลื่อนตัวมวลของหิน ดิน ทราย ลงมาตามแนวของความลาดชัน โดยอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของโลก ซึ่งจะอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เช่น น้ำ ลม ธารน้ำแข็ง เป็นตัวพัดพาและช่วยเสริมการย้ายมวล


2.รู้จักสังเกต และให้ความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดไม่ว่าท่านจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดดินถล่ม หรือเดินทางผ่านเส้นทางบริเวณที่อาจเกิดดินถล่ม สิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจคือลักษณะของภูมิประเทศและธรณีวิทยาของดินบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังต้องสังเกตในเรื่องของ
- การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศโดยรอบ การเคลื่อนไหวของดินหรือมีการสไลด์ของดินขนาดเล็กเกิดขึ้น
-มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบริเวณผนังของตัวบ้าน
-รอยแตกร้าวขยายขนาดเพิ่มขึ้นในบริเวณถนนหรือบริเวณอาคารที่มีรอยแตก
-รั้ว กำแพง เสาไฟ และต้นไม้ มีการล้มเอียงเกิดขึ้น
-เริ่มรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินบริเวณใต้เท้าของท่าน
-มีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เสียงการหักของต้นไม้ การแตกของหิน และเสียงการเคลื่อนย้ายและการไหลของโคลนเกิดขึ้น
-เสียงกระหึ่มหลังสุดจะเป็นเสียงที่บ่งบอกถึงการถล่มของดินเกิดขึ้น
3.อพยบหรือเคลื่อนย้ายมาอยู่ในบริเวณที่โล่งแจ้งและหลีกเลี่ยงบริเวณเส้นทางที่ดินโคลนถล่ม นอกจากนี้ท่านยังต้องตื่นตัวต่อการรับมือจากเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาอย่าวางใจเพราะเคยมีผู้เสียขีวิตจากการนอนโดยไม่ระวังมาแล้วหลายราย ค่อยสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบๆข้างอยู่เสมอ ต้องติดตามข่าวสารจากวิทยุพกพาเกี่ยวกับการรายงานของปริมาณน้ำฝนและการเข้าช่วยเหลือของหน่วยงานกู้ภัย
-การรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับปริมาณน้ำฝนจะช่วยท่านได้ เพราะการที่มีฝนตกอย่างหนักและฉับพลันถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ดินถล่ม
4.สุดท้ายเพื่อความปลอดภัยต่อท่านและครอบครัวหากพิจารณาแล้วว่าบริเวณที่ท่านอาศัยเป็นพื้นที่อ่อนไหวและมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ดินถล่ม ท่านควรย้ายออกจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการยืนยันถึงความปลอดภัยจากหน่วยงานของรัฐบาล
นิยามของโคลนถล่ม
ดิน ถล่มหรือโคลนถล่ม คือ การเคลื่อนตัวของมวลดินและหินภายใต้อิทธิพลแรงโน้มถ่วงของโลก สาเหตุหลักของดินถล่มหรือโคลนถล่ม คือ ดินบริเวณนั้นไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวเองได้อีกต่อไป ดินถล่มมักเกิดพร้อมกับหรือตามมาหลังจากน้ำป่าไหลหลาก เกิดขึ้นในขณะหรือภายหลังพายุฝนที่ทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องอย่างรุนแรง กล่าวคือ เมื่อฝนตกต่อเนื่องน้ำซึมลงในดินอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุดหนึ่งดินจะอิ่มตัวชุ่มด้วยน้ำยังผลให้น้ำหนักของมวลดินเพิ่มขึ้น และแรงยึดเกาะระหว่างมวลดินลดลง ระดับน้ำใต้ผิวดินเพิ่มสูงขึ้นทำให้แรงต้านทานการเลื่อนไหลของดินลดลง จึงเกิดการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหิน ดังนั้น โอกาสที่เกิดดินถล่มหรือโคลนถล่มจึงมีมากยิ่งขึ้นการเคลื่อนตัวของดินอาจ เกิดอย่างช้าๆหรืออย่างฉับพลัน น้ำหนักของมวลดินที่ถล่มลงมามีกำลังมหาศาลที่ทำลายสิ่งต่าง ๆ ที่ขวางทางและก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินการเกิดดินถล่มเกิด ขึ้นได้หลายลักษณะลักษณะการเคลื่อนตัวได้ 3 ชนิดคือ
1. แผ่นดินถล่มที่เคลื่อนตัวอย่างแผ่นดินถล่มที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เรียกว่า Creep เช่น Surficial Creep
2. แผ่นดินถล่มที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วเรียกว่า Slide หรือ Flow เช่น Surficial Slide
3. แผ่นดินถล่มที่เคลื่อนตัวอย่างฉับพลัน เรียกว่า Fall Rock Fall
สาเหตุของดินถล่ม/โคลนถล่ม จำแนกได้ดังต่อไปนี้

1. สาเหตุจากมนุษย์ (Manmade Causes) กิจกรรมที่มนุษย์ทำในบริเวณที่ลาดชัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดดินถล่มหรือโคลนถล่ม เช่น
กิจกรรมเหล่านี้ส่งผลให้ พื้นที่ดังกล่าวมีความลาดชันเพิ่มขึ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการไหลของน้ำ ผิวดินและเปลี่ยนแปลงระดับน้ำบาดาล ซึ่งอาจก่อให้เกิดดินถล่มหรือโคลมถล่ม การขุดหรือตัดถนนในบริเวณที่ลาดเชิงเขาอาจก่อให้เกิดความชันของพื้นที่มาก ขึ้น การขุดเหมืองและการระเบิดหินมักจะทำให้ดินมีความลาดชันเพิ่มขึ้น การทำการเกษตรในบริเวณที่ลาดชัน เกษตรกรก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดวัชพืชและอาจปรับพื้นที่ให้มีลักษณะขั้นบันได หรือธุรกิจการตัดไม้ทำลายป่า กิจกรรมเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการไหลของน้ำบริเวณผิวดิน กล่าวคือน้ำจะไหลผ่านหน้าดินอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดการชะล้างหน้าดินเนื่องจากป่าถูกทำลาย ดินขาดรากไม้ยึดเหนี่ยวนอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการไหลของน้ำบริเวณผิว ดินยังส่งผลต่อระดับน้ำบาดาลอีกด้วย ในการทำชลประทาน จะมีปริมาณน้ำส่วนหนึ่งที่ซึมออกจากคลองชลประทานและไหลซึมลงไปใต้ดิน ทำให้ระดับน้ำบาดาลเพิ่มสูงขึ้น มวลดินมีน้ำหนักมากขึ้นและอาจเป็นสาเหตุให้เกิดดินถล่มในที่สุด การเพิ่มระดับน้ำบาดาลอาจมีสาเหตุมาจากการรั่วของท่อน้ำ บ่อหรืออ่างเก็บน้ำ หรือการปล่อยน้ำทิ้งจากที่ต่าง ๆ
2. สาเหตุจากธรรมชาติ (Natural factors) เหตุการณ์ทางธรรมชาติก็เป็นสาเหตุให้เกิดดินถล่มหรือโคลนถล่มได้เช่นกัน เช่น
ภูเขาไฟระเบิด ในบริเวณที่ภูเขาไฟยังไม่สงบ เถ้าภูเขาไฟหรือลาวาจะเคลื่อนตัวเป็นมวลดินขนาดใหญ่ที่มีความหนาแน่นต่ำเมื่อเกิดฝนตกหนัก จึงมีโอกาสที่เกิดดินถล่มหรือโคลนถล่มนอกจากนี้ การเกิดดินถล่มอาจมีสาเหตุจากการเกิดภัยธรรมชาติหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ในบางกรณี ภัยธรรมชาติเพียงภัยหนึ่งอาจส่งผลให้เกิดภัยต่าง ๆ ตามมาได้ ตัวอย่างเช่น แผ่นดินไหวซึ่งทำให้เกิดดินถล่มและเขื่อนแตก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในพื้นที่ท้ายน้ำที่มีระดับต่ำกว่า เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้อาจส่งผลกระทบแตกต่างไป จากเหตุการณ์ที่มีสาเหตุการเกิดจากภัยพิบัติเพียงภัยเดียว
ลักษณะพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดภัยโคลนถล่มและสัญญาณเตือนภัย
พื้นที่ที่มีโอกาสเกิดภัยโคลนถล่ม หมายถึง พื้นที่และบริเวณที่อาจจะเริ่มเกิดการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหินที่อยู่ บนภูเขาสู่ที่ต่ำในลำห้วยและทางน้ำขณะเมื่อมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ลักษณะของพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม มีข้อสังเกตดังนี้
หมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่ม
หมายถึง หมู่บ้านหรือชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงลำห้วยตามลาดเชิงเขา และที่ลุ่มที่อยู่ติดหรือใกล้เขาสูง อาจจะได้ผลกระทบจากการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหินปริมาณมากที่มาพร้อมกับน้ำตามลำห้วยจากที่สูงชันลงมาสู่หมู่บ้านหรือชุมชนที่ตั้งอยู่ โดยลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่ม มีข้อสังเกตได้ดังนี้
สัญญาณเตือนภัยบอกเหตุดินถล่มในบริเวณพื้นที่ลาดชัน ได้แก่
แนวทางการป้องกัน
สำหรับในประเทศไทยการเกิดเหตุการณ์ดินถล่มนั้นส่วนใหญ่มีตัวกลางสำคัญในการเคลื่อนย้ายมวลของดิน คือ น้ำ โดยมากแล้วจะมีสาเหตุหลักมาจากการเกิดฝนตกหนัก และน้ำท่วม ทำให้ดินไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้จึงเกิดกาวถล่มลงมาในส่วนของการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ดินถล่มนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเตรียมรับมือก่อนเกิดเหตุการณ์ดินถล่มเพื่อเป็นแนวทางในการรักษาชีวิตรอดได้ (วรนุช 2555)
- การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศโดยรอบ การเคลื่อนไหวของดินหรือมีการสไลด์ของดินขนาดเล็กเกิดขึ้น
-มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบริเวณผนังของตัวบ้าน
-รอยแตกร้าวขยายขนาดเพิ่มขึ้นในบริเวณถนนหรือบริเวณอาคารที่มีรอยแตก
-รั้ว กำแพง เสาไฟ และต้นไม้ มีการล้มเอียงเกิดขึ้น
-เริ่มรู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของพื้นดินบริเวณใต้เท้าของท่าน
-มีเสียงผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เสียงการหักของต้นไม้ การแตกของหิน และเสียงการเคลื่อนย้ายและการไหลของโคลนเกิดขึ้น
-เสียงกระหึ่มหลังสุดจะเป็นเสียงที่บ่งบอกถึงการถล่มของดินเกิดขึ้น
-การรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับปริมาณน้ำฝนจะช่วยท่านได้ เพราะการที่มีฝนตกอย่างหนักและฉับพลันถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ดินถล่ม
4.สุดท้ายเพื่อความปลอดภัยหากพิจารณาแล้วว่าบริเวณที่อาศัยเป็นพื้นที่อ่อนไหวและมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ดินถล่ม ควรย้ายออกจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการยืนยันถึงความปลอดภัยจากหน่วยงานของรัฐบาล
กระบวนการเฝ้าระวัง
ดินถล่มเป็นเหตุการณ์ที่เกิดอย่างรวดเร็ว ยากต่อการเตือนภัยหรือหลบหนีได้ทัน ในประเทศไทยยังไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตือนภัยทางตรง จึงต้องใช้การเตือนภัยทางอ้อม โดยใช้ปริมาณน้ำฝนเป็นเกณฑ์ คือ มากกว่า 100 ม.ม./วัน ต่อเนื่องเกิน 24 ชม. สำหรับหมู่บ้านเสี่ยงภัยจากดินถล่ม ให้ห่างจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเกิดดินถล่ม ประมาณ 2-5 กม. และอย่าอยู่ใกล้ลำน้ำ เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวพาดิน หินและต้นไม้มาด้วย (สำนักป้องกันภัยธรรมชาติ 2552)
อ้างอิงจาก https://sites.google.com/site/thapkungch/home/din-thlm-laea-kholn-thlm-landslides-and-mudslides
No comments:
Post a Comment